แรกเริ่มเดิมทีนั้น สฟาลบาร์ (ออกเสียงตามภาษานอร์ดิค) หรือสวาลบาร์ด (เสียงภาษาอังกฤษ) เป็นเพียงหมู่เกาะธรรมดาทางเหนือที่ไม่มีมนุษย์อาศัยอยู่ ส่วนชื่อของเกาะนี้มีความหมายว่าชายฝั่งเย็นยะเยือก สาเหตุก็มาจากตั้งอยู่ใกล้ขั้วโลกนั่นเอง
คาดการณ์กันว่าชื่อของSvalbardมาจากชาวไวกิ้งแต่ยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดว่าชาวไวกิ้งเป็นคนค้นพบเกาะนี้ ด้วยหลักฐานทั้งหมดในการค้นพบจึงเชื่อกันว่าคนที่ค้นพบหมู่เกาะนี้คือ Willem Barentsz นักสำรวจชาวดัตช์ ค้นพบเมื่อคริสต์ศักราช 1596 เกิดจากการอยากหาเส้นทางเดินเรือเพื่อไปทวีปเอเชียโดยใช้เส้นทางตอนเหนือบริเวณอาร์กติก
อยู่ในมหาสมุทรอาร์กติก ตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่างแผ่นดินใหญ่ของประเทศนอร์เวย์และขั้วโลกเหนือ ห่างจากกรุงออสโล เมืองหลวงของนอร์เวย์ประมาณ 2, 000 กม. (ใช้เวลาบิน 3 ชั่วโมง) เมืองหลวงของหมู่เกาะฯ คือ เมือง Longyearbyen อยู่ห่างจากขั้วโลกเหนือเพียงแค่ 1, 309 กม.
ปัจจุบันหมู่เกาะสวาลบาร์ด มีประชากรทั้งสิ้นประมาณ 2, 000 คน ซึ่งนับว่าเป็นเมือง ที่มีประชากรมากกว่า 1, 000 คน ที่ตั้งอยู่เหนือมากที่สุดในโลก แต่หากเปรียบเทียบกับจำนวนหมีขาวแล้ว ที่หมู่เกาะแห่งนี้ มีหมีขาวกว่า 3, 000 ตัว หมีขาวจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของที่แห่งนี้ และกลายเป็นหนึ่งในจุดสนใจของนักท่องเที่ยว
ปัจจุบันหมู่เกาะสวาลบาร์ด มีรายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อีกทั้งยังเป็นที่ตั้งสถานีวิจัยของประเทศต่าง ๆ เพื่อวัตถุประสงค์ด้านการศึกษาวิจัยพื้นที่เขตอาร์กติก จำนวนทั้งสิ้น 15 ประเทศ อาทิ นอร์เวย์ สวีเดน รัสเซีย โปแลนด์ เช็ก จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย ฯลฯ กระจายอยู่ตามเมืองต่าง ๆในหมู่เกาะ ตลอดจนเป็นที่ตั้งของธนาคารเก็บรักษาพันธุ์พืชต่าง ๆ จากทั่วโลก (Svalbard Global Seed Vault) เพื่อให้ปลอดภัยจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศภัยธรรมชาติ และสงคราม
ซึ่งสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้ทรงเคยนำเมล็ดพันธุ์พืชตระกูลถั่วของไทยไปเก็บรักษาไว้ที่นั่น เมื่อครั้งเสด็จฯ เยือนนอร์เวย์ระหว่างวันที่ 12-15 มีนาคม 2556
ถึงแม้ว่าจะมีนักท่องเที่ยวชาวไทยจำนวนไม่มากที่เคยมาเยือนหมู่เกาะแห่งนี้ แต่เชื่อหรือไม่ว่าจากประชากรในหมู่เกาะทั้งหมด 2, 000 คนนั้น มีชาวไทยอาศัยและประกอบอาชีพ อยู่ที่นี่เป็นจำนวนมากกว่าร้อยคน ถือเป็นคนชาติลำดับที่ 2 รองจากชาวนอร์เวย์!! ดังนั้น หากมาที่นี่เรียกได้ว่า คุณจะได้พบกับคนไทยที่ทำงานอยู่ในแทบทุกโรงแรม ร้านอาหาร และร้านค้า และจะได้ยินเสียงพูดภาษาไทยกันเป็นปกติเลยทีเดียว
สวาลบาร์ดตั้งอยู่ในละติจูดที่สูงมาก ทำให้เกิดความแตกต่างของฤดูกาลและเวลาของพระอาทิตย์อย่างสุดขั้ว คือจะมีช่วง 4 เดือนที่ พระอาทิตย์ไม่ตกดินเลย (Midnight Sun) ซึ่งอยู่ระหว่างเดือนมิถุนายนถึงกรกฎาคม และช่วงเดือนที่พระอาทิตย์ตกดินตลอดวันเรียกว่า “โพลาร์ไนท์” (Polar Night) สถานที่ที่ไม่ได้รับแสงอาทิตย์นาน 24 ชั่วโมง ซึ่งอยู่ระหว่างเดือนตุลาคมถึงกุมภาพันธ์ของทุกๆปี เท่ากับปีๆหนึ่ง คนสวาลบาร์ดจะเจอแสงอาทิตย์ที่เหมือนคนปกติเพียง 4 เดือนเท่านั้น
อุณหภูมิเฉลี่ยที่สวาบาร์ดจะอยู่ที่ -16 องศาเซลเซียส ในหน้าหนาวและสูงสุดคือ 20 องศาเซลเซียสในหน้าร้อน
ดินแดนที่อยู่ใกล้กับขั้วโลกเหนือและเหนือสุดของโลกที่มีมนุษย์อาศัยอยู่ เป็นลักษณะเป็นหมู่เกาะ เกาะที่ใหญ่ที่สุดชื่อว่า Spitsbergen ประกอบไปด้วยเมือง Longyearbyen, Pyramiden และ Barentsburg
ดินแดนที่หนาวเย็นแต่แฝงไปด้วยความหลากหลายและเป็นสถานที่ที่มีความสำคัญแห่งหนึ่งของโลก
ชุมชนที่ใหญ่ที่สุดและศูนย์กลางการบริหารของสวาลบาร์ดมีประชากร 2, 040 คน ในปี ค.ศ. 2008 เมืองนี้ตั้งอยู่ใน หุบเขาลองเยียร์ดาเลน (Longyeardalen)และเป็นที่ตั้งของสภาชุมชนลองเยียร์เบียน สถานที่ราชการ ท่าเรือ มหาวิทยาลัย สนามบิน โรงเรียน และโบสถ์คริสต์ศาสนา
อดีตเขตที่อยู่ของชาวรัสเซียที่เป็นศูนย์กลางในการทำอุตสาหกรรมเหมืองถ่านหิน(coal mine) ที่นี่จึงไม่แปลกใจถ้าจะพบรูปปั้นของเลนินป้ายต่างๆที่ระบุเป็นภาษารัสเซีย หรือร่องรอยการใช้ชีวิตของคนรัสเซียก่อนหน้านี้
หลังจากปี ค.ศ.1998 เมื่อเหมืองนี้ได้ถูกปิดลงคนย้ายออกไป เมืองนี้เลยกลายเป็นสภาพเป็นเมืองร้างไปโดยปริยาย ปัจจุบันเมืองพีรามิดเดนท์ จึงกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ของสวาลบาร์ด มีโรงแรมที่มาตั้งอยู่ใจกลางเมืองเพิ่มเติมอีกด้วย
อุโมงค์เก็บรักษาเมล็ดพันธุ์แห่งสวาลบาร์ด คือสถานที่เก็บรวบรวมเมล็ดพันธุ์พืชที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยโครงสร้างที่แข็งแรงและที่ตั้งทางภูมิศาสตร์เฉพาะตัว
อุโมงค์แห่งนี้ทนทานต่อกาลเวลาและภัยพิบัติทางธรรมชาติและที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อให้แน่ใจว่ามนุษยชาติจะยังมีอาหารแม้ในวันสิ้นโลกอุโมงค์เมล็ดพันธุ์แห่งสวาลบาร์ด
อุโมงค์นิรภัยแห่งนี้ทอดตัวลึกเข้าไปในภูเขาจากทางเข้ากว่า 100 เมตร ณพื้นที่ห่างไกลเหนืออาร์กติกเซอร์เคิลไปอีกกว่า 1,300 กิโลเมตร เหนือสุดของโลกเท่าที่ เที่ยวบินพานิชย์จะไปถึง ทำให้ยากต่อการถูกรบกวน และด้วยลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่มีความชื้นต่ำตลอดปี อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 130 เมตร และมีชั้นดินเยือกแข็งคงตัว (permafrost) ที่ช่วยรักษาอุณหภูมิอุโมงค์เก็บเมล็ดพันธุ์ให้อยู่ให้อุณหภูมิต่ำกว่าจุดเยือกแข็งได้แม้ระบบพลังงานไฟฟ้าล้มเหลว
ทำให้สถานที่นี้เป็นจุดที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์ให้ปลอดภัยจากความเสี่ยงต่างๆ ได้เป็นระยะเวลายาวนาน
ปัจจุบันอุโมงค์ในภูเขาน้ำแข็งแห่งนี้เก็บรักษาเมล็ดพืชพันธุ์จากทั่วโลกไว้ทั้งหมด 1,081,026 ชนิดพันธุ์ โดยมีตั้งแต่อาหารหลักของคนในทวีปแอฟริกาและเอเชีย เช่น ข้าวโพด ข้าว ข้าวสาลี ถั่วพู และข้าวฟ่าง ไปจนถึงมะเขือม่วง ผักกาดหอม ข้าวบาร์เลย์ และ มันฝรั่งที่นิยมบริโภคในทวีปยุโรปและอเมริกาใต้รวมถึงสายพันธุ์ท้องถิ่นที่อาจไม่มีคนรู้จักแล้วในปัจจุบัน ตัวอย่างสายพันธุ์เหล่านี้ถูกส่งมาจากธนาคารยีนเกือบ 90 แห่งในช่วงระยะเวลา 13 ปีที่ผ่านมา นำมาผ่านกรรมวิธีการต่าง ๆ และเก็บรักษาไว้ในอุณหภูมิ -18 องศาเซลเซียส ซึ่งจะทำให้เก็บรักษาไว้ได้เป็นเวลานานหลายร้อยปีหรือนับพันปี
ข้อมูลจาก https://www.sdgmove.com