อียิปต์ เป็นประเทศที่มีแผ่นดินเชื่อมต่อระหว่างทวีปแอฟริกาและทวีปเอเชีย หลังจากได้มีการขุดและเปิดใช้คลองสุเอซ เมื่อปี พ.ศ. 2412 (ค.ศ. 1869) เส้นทางผ่านคลองสุเอซของอียิปต์ได้กลายเป็นเส้นทางเดินเรือที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก
ประเทศอียิปต์ มีพื้นที่ประมาณ 1, 020, 000 ตารางกิโลเมตร ซึ่งรวมถึงคาบสมุทรซีนาย (ถ้าเป็นส่วนหนึ่งของเอเชียตะวันตกเฉียงใต้) ในขณะที่พื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศตั้งอยู่ในแอฟริกาเหนือ พื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศเป็นส่วนของทะเลทรายซาฮารา ประเทศอียิปต์มีชื่อเสียงในด้านอารยธรรมโบราณ รวมถึงอนุสาวรีย์โบราณที่อลังการที่สุดในโลก ได้แก่ พีระมิด มหาวิหารคาร์นัคและหุบเขากษัตริย์ (Valley of the Kings) ในปัจจุบัน อียิปต์ถือว่าเป็นศูนย์กลางทางการเมืองและวัฒนธรรมของโลกอาหรับ
ไคโร (Cairo) เป็นเมืองหลวงของประเทศอียิปต์ ตั้งริมฝั่งแม่น้ำไนล์ ไคโรมีประชากรประมาณ 17 ล้านคน ซึ่งเป็นเมืองที่ประชากรมากที่สุดในทวีปแอฟริกา ชื่อเมือง "ไคโร" ในภาษาอาหรับมีความหมายว่า ชัยชนะ
โดยความเชื่อว่าเกิดจากที่มีการมองเห็นดาวอังคาร ในช่วงที่ก่อสร้างเมืองและดาวอังคารเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของการทำลายล้าง อย่างไรก็ตามในความเชื่ออีกอย่างหนึ่ง ชื่อ ไคโร มาจากเมืองที่รบชนะทุกกองทัพที่มาตีเมืองไคโร รวมไปถึงกองทัพมองโกล กองทัพครูเสด หรือแม้แต่กองทัพออตโตมัน
ภูมิอากาศ ประเทศอียิปต์มีภูมิอากาศ ร้อน แห้งและอากาศหนาว ระดับปานกลาง แบ่งเป็น 4 ฤดู ดังนี้
จนมาถึงการเข้ามาของศาสนาอิสลาม จึงเห็นมีศิลปะของกรีก โรมัน ตุรกี ปะปนกันอยู่ เมืองอเล็กซานเดรีย ได้รับการขนานนามว่า ไข่มุกแห่งเมดิเตอร์เรเนียน เป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 เป็นรองกรุงไคโรอันเป็นเมืองหลวงอยู่ห่างกรุงไคโร 225 กม. หรือประมาณ 3 ชั่วโมงครึ่ง เมืองนี้ประวัติศาสตร์ยาวนานเป็นสมบัติอันล้ำค่านานนับพันปี ยังทิ้งร่องรอยไว้ให้เห็นอย่างน่าทึ่งและที่ค้นพบใหม่อีกมากมาย ที่จมอยู่ใต้น้ำบริเวณอ่าวแห่งเมืองอเล็กซานเดรีย ปัจจุบันมีถนนหลัก(กว้าง)เรียบชายฝั่งทะเลยาวเหยียด มีอ่าวเว้าสวยงาม เป็นทัศนียภาพอันสวยงาม
เป็น complex นี้มีพื้นที่ 115 เอเคอร์ (465388 ตรม.) รายรอบด้วยกำแพง 3 ด้าน ด้านทิศเหนือติดทะเล พระราชวังแห่งนี้เป็นที่ประทับของกษัตริย์ฟารุก กษัตริย์องค์สุดทายของอียิปต์ ปัจจุบันใช้เป็นที่รับรองแขกพิเศษของประเทศ
สิ่งสำคัญโบราณในสมัยโรมันปกครองอียิปต์ เป็นเสาแกรนิตสูง 27 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง 9 เมตร ทำด้วยหินแกรนิตสีแดงจากเมืองอาสวาน (ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ ขนย้ายหินมาไกลกว่า 1, 000 กม.)
ปอมเปย์ เป็นชื่อเพื่อนสนิทของ จูเลียตซีซ่าร์ ซึ่งภายหลังทั้งสองได้กลายเป็นศัตรูกันและปอมเปย์ได้หลบหนีมายังเมืองอเล็กซานเดรียในอียิปต์ ก่อนถูกฆ่าตายและเล่าขานกันว่า จูเลียตซีซ่าร์ ได้ทำพิธีเผาศีรษะของปอมเปย์ที่เสานี้
ได้ชื่อมาจากชื่อเกาะที่มันตั้งอยู่คือ เกาะฟาโรส เมื่อปี ค.ศ. 1375 แผ่นดินไหวในเมืองอเล็กซานเดรีย ทำให้ประภาคารดังกล่าวทลายลงมาจนสิ้นซาก ปัจจุบันสร้างเสริมเติมใหม่บนซากฐานที่ยังหลงเหลือไว้ ซึ่งใช้ชื่อใหม่ว่า Qaitbay’s citadel
ในอดีตประภาคารฟาโรสเคยเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ สร้างขึ้นราว 280 ปีก่อนคริสตกาล ในรัชสมัยของปโตเลมีที่2 มีความสูงกว่า 135 เมตร ปัจจุบันถูกดัดแปลงเป็นพิพิธภัณฑ์แห่งราชนาวี (Qaitbay Maritime Museum)
ตามหลักฐานคาดว่าเดิมประภาคารแห่งนี้มีช่วงล่างเป็นรูปสี่เหลี่ยม ช่วงกลางเป็นรูปแปดเหลี่ยมและช่วงบนเป็นทรงกลม ยอดบนสุดของประภาคารนี้ มีภาชนะสำหรับใส่ถ่านซึ่งลุกโชติช่วงทั้งวันทั้งคืนเพื่อเป็นไฟสัญญาณ
มีชื่อเรียกว่า คาตาโกมบ์ (Catacombs) หนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง เป็นสุสานฝังศพใต้ดินของกษัตริย์อียิปต์โบราณ ไม่ปรากฎหลักฐานว่าใครเป็นผู้สร้าง เป็นสุสานของใครและสร้างเมื่อใด
ลักษณะของสุสานไม่เหมือนกับปีรามิดคือจัดสร้างเป็นอุโมงค์ใต้ดินขุดลึกเข้าไปในภูเขาหินทราย ทำเป็นชั้นๆและมีช่องทางเดินกว้างประมาณ 3-4 ฟุต วกเวียนไปมาเป็นระยะทางหลายไมล์
ภายในอุโมงค์บางตอนตกแต่งอย่างสวยงามที่บรรจุพระศพคือผนังอุโมงค์ที่เจาะเป็นช่องลึกเข้าไป มีแท่นบูชา วางด้วยตะเกียงดวงเล็กๆแขวนไหว้ด้านหน้า ปัจจุบันสุสานแห่งอเล็กซานเดรียได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ยังคงสภาพสมบูรณ์อีกแห่งหนึ่ง
เปิดบริการอย่างเป็นการในวันที่ 17 ตุลาคม 2002 นับว่าห้องสมุดอเล็กซานเดรียใหม่นี้ บ่งชี้อย่างชัดเจนถึงอารยธรรมและวัฒนธรรมและความสำเร็จในด้านวิศวกรรม ห้องสมุดอเล็กซานเดรียใหม่ ตั้งอยู่ระหว่างทะเลเมดิเตอร์เรเนียนกับมหาวิทยาลัยอเล็กซานเดรียในเขตชาติบีย์ ซึ่งถูกสร้างขึ้นในที่เดิม คือห้องบริเวณห้องสมุดอเล็กซานเดรีย์เก่า ในเขตมาลากีย์ ใกล้กับวังมาลากีย์
เมื่อดูจากภายนอกจะเห็นห้องสมุดคล้ายกับดวงอาทิตย์ที่กำลังขึ้นมาจากทะเลซึ่งยังไม่เต็มดวง ส่วนสูงโดยรวม 160 เมตร โดยประมาณ บริเวณห้องสมุดนั้นถูกล้อมด้วยกำแพง ซึ่งดูคล้ายกับรูปดวงจัทร์เสี้ยว (กำแพงสร้างมาจากหินแกรนิต ซึ่งเป็นหินที่นำมาจากเมืองอัสวาน ประเทศอียิปต์) บนฝากำแพงนั้นถูกแกะสลักเป็นอักษรต่างๆ ถึง 120 ภาษา ที่แตกต่างกันไป
สัญลักษณ์ของห้องสมุดประกอบด้วยสามสัญลักษณ์ คือ รูปคล้ายดวงอาทิตย์ครึ่งดวง, สระน้ำคล้ายทะเลหน้ารูปดวงอาทิตย์และประภาคาร รูปดวงอาทิตย์ครึ่งดวงนั้นได้บ่งชี้ถึงกระแสความคิดในการค้นคว้า การวิจัย การฟื้นฟู ที่มีอย่างสม่ำเสมอและเมื่อถูกสร้างในสภาพที่รูปดวงอาทิตย์ได้กำลังโผล่ขึ้นจากน้ำทะเล เป็นสาเหตุแห่งการมีชีวิตและแสงสว่างบนหน้าแผ่นดินอียิปต์ ซึ่งดวงอาทิตย์ครึ่งดวงเสมือนกับเป็นการกระชับความสัมพันธ์ของอารยธรรมอียิปต์ด้วยระยะเวลาที่ผ่านมาอย่างยาวนาน
ส่วนประภาคารที่สูงเหนือน้ำทะเลนั้น บ่งชี้ถึงเมืองอเล็กซานเดรีย ซึ่งเมืองนี้ได้ถูกขนามนามว่า "เจ้าหญิงแห่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน"
ถือเป็นปิระมิดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่ที่กลางทะเลทราย ปิระมิดแห่งนี้เดิมสูง 481.4 ฟุต แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 450 ฟุต ฐานกว้าง 768 ฟุต
ใช้หินทรายตัดเป็นแท่งรูปสามเหลี่ยมหนักประมาณก้อนละ 2 ตันครึ่ง บางก้อนหนักถึง 16 ตัน โดยการนำเอามาซ้อนกันขึ้นไปเป็นทรงกรวย เชื่อกันว่าปิระมิดองค์นี้ จะทนแดดทนฝนอยู่ได้อีกนานกว่า 5, 000 ปีและเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของยุคโบราณสิ่งเดียวเท่านั้น ที่มีอายุยืนยาวมาจนถึงปัจจุบัน
ซึ่งเป็นหนึ่งเดียว ในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ที่ยังคงเหลืออยู่ในปัจจุบัน มีขนาดใหญ่ที่สุดและเก่าแก่ที่สุดในหมู่ปิระมิดแห่งกิซ่า
ตั้งอยู่ตรงกลางของปิระมิดทั้ง 3 และสร้างอยู่บนพื้นที่สูง ทำให้ดูเหมือนมีขนาดใหญ่ที่สุดและมีบางคนเข้าใจผิดว่า ปิระมิดคาเฟรคือ มหาปิระมิดแห่งกิซ่า
ทางทิศตะวันออกของปิระมิดคาเฟรมี มหาสฟิงซ์ (The Great Sphinx of Giza) หินแกะสลักขนาดมหึมาที่มักปรากฏในภาพถ่ายคู่กับ ปิระมิดคาเฟร
จากตำแหน่งการก่อสร้างทำให้คาดได้ว่า เดิมอาจตั้งใจสร้างให้มีขนาดใกล้เคียง ปิระมิดคูฟูและปิระมิดคาเฟร แต่ในที่สุดก็สร้างในขนาดที่เล็กกว่า ปิระมิดเมนคูเร มักปรากฏในภาพถ่ายพร้อมกับหมู่ปิระมิดราชินีทั้ง 3 (The Three Queen's Pyramids)
สฟิงซ์ยักษ์กีซ่า ถือเป็นสฟิงซ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก แกะสลักจากหินก้อนขนาดมหึมาเพียงก้อนเดียว โดยมีความยาวของลำตัวที่ 73.5 เมตร สูง 21 เมตรใบหน้ามีความยาว 5 เมตร จมูกยาว 2 เมตร ส่วนเคราไม่สามารถระบุตัวเลข ของขนาดได้
ปัจจุบันนี้เคราและจมูกของสฟิงซ์ยักษ์ตัวนี้ ถูกแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์ BRITISH MUSEUM กรุงลอนดอน
สฟิงซ์ เป็นการผสมกันระหว่างมนุษย์กับสิงโต ส่วนหัวที่เหมือนมนุษย์นั้น มีสัญลักษณ์ของฟาโรห์อียิปต์แสดงไว้คือมีเคราที่คาง ตรงหน้าผากมีงูแผ่แม่เบี้ยและมีเครื่องประดับรัดเกล้าแบบกษัตริย์
รูปสลักสฟิงซ์ของอียิปต์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือ มหาสฟิงซ์ (The Great Sphinx of Giza) บริเวณใกล้กับปิระมิดคาเฟร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหมู่ปิระมิดแห่งกิซ่า (Giza Pyramid Complex)
หน้าที่ของสฟิงซ์ส ฟิงซ์เปรียบเสมือนเป็นตัวแทนของกษัตริย์ หรือเป็นสัตว์ที่มีชาญฉลาดและมีพลังเพื่อปกป้องพระศพและทรัพย์สมบัติภายในปิระมิด
โดย กษัตริย์เมนา ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ที่ 1 ชมรูปแกะสลักขนาดยักษ์ ด้วยหินอลาบาสเตอร์ของฟาโรห์รามเสสที่ 2 ระหว่างทางท่านจะได้เห็นต้นอินทผาลัมเป็นทิวแถวตลอดสองข้างทาง
จากนั้นเดินทางต่อไปยังเมืองโบราณที่ใกล้กันคือ
ชมโลงศพทองคำแท้หนัก 110 ก.ก. พร้อมหน้ากากทองคำของฟาโรห์ตุตันคาเมนหนัก 11 ก.ก.และสมบัติส่วนตัวอีกมากมายของพระองค์ เช่น เตียงบรรทม, รถศึกและเก้าอี้บัลลังก์ทองคำ
พระเศียรของพระนางเนเฟอร์ติติ 1 ใน 2 ชิ้นที่มีชื่อของโลก (อีกชิ้นอยู่ที่เบอร์ลิน)
ชมพระรูปของฟาโรห์อัคนาแตน ฟาโรห์นักปฏิวัติ
ชมรูปปั้นดินที่แสดงถึงชีวิตประจำวันของชาวอียิปต์
พระรูปของพระนางฮัตเชปสุต ฟาโรห์สตรีองค์เดียวของอียิปต์
ชมมัมมี่ของคนและสัตว์ทั้งเด็กและผู้ใหญ่
พร้อมร่วมค้นหาคำตอบแห่งปริศนาคัมภีร์มรณะเปรียบเสมือนของกำนัลจากเทพแห่งความตาย
ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของประเทศอียิปต์อารยธรรมอียิปต์โบราณสืบเนื่องมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์และเริ่มปรากฏชัดเมื่อประมาณ 3, 150 ปีก่อนคริตศักราช จากการรวมอำนาจทางการเมืองของอียิปต์ตอนเหนือและตอนใต้ ภายใต้ฟาโรห์นาร์เมอร์ ซึ่งเป็นฟาโรห์องค์แรกแห่งอียิปต์
ภายใต้การยึดครองโดย พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช เมื่อ 332 ปีก่อนคริสต์ศักราช ซึ่งทำให้ความเป็นอาณาจักรอียิปต์โบราณล่มสลายลงและจัดอียิปต์เป็นเพียงจังหวัดหนึ่งของจักรวรรดิมาเกโดเนีย
แม้กระนั้นเองความเป็นอารยธรรมอียิปต์โบราณก็ดำรงอยู่ต่อไปภายใต้ ราชวงศ์ทอเลมี เชื้อสายกรีกที่ตั้งขึ้นภายหลังการสวรรคตของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์และปกครองอียิปต์จนถึง 30 ปี ก่อนคริสตกาลภายใต้ พระนางคลีโอพัตรา
นอกจากนี้ยังมีการทำเหมืองแร่และอียิปต์ยังเป็นชนชาติแรก ๆ ที่มีการพัฒนาการด้วยการเขียน ประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้นใช้ การบริหารเน้นไปที่สิ่งปลูกสร้างและการเกษตรกรรม พร้อมกันนั้นก็มีการพัฒนาการทางทหารของอียิปต์ที่เสริมสร้างความแข็งแกร่งแก่ราชอาณาจักร โดยประชาชนจะให้ความเคารพกษัตริย์หรือฟาโรห์เสมือนหนึ่งเทพเจ้า ฟาโรห์ทรงมีอำนาจเด็ดขาดทำให้การบริหารราชการบ้านเมืองและการควบคุมอำนาจนั้นทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ซึ่งถูกคัดลอกนำไปใช้ทั่วโลกอนุสรณ์สถานที่ต่างๆ ในอียิปต์ต่างดึงดูดนักท่องเที่ยวและนักประพันธ์ตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา ปัจจุบันมีการค้นพบวัตถุใหม่ ๆ ในอียิปต์มากมายซึ่งกำลังตรวจสอบถึงประวัติความเป็นมา เพื่อเป็นหลักฐานแก่อารยธรรมอียิปต์และอารยธรรมของโลกต่อไป
ผู้เดินทางท่านใดพูดภาษาอาหรับ แม้เพียงไม่กี่คำก็เอาตัวรอดได้ เนื่องจากคนพื้นเมืองโดยทั่วไปมีประเพณีการต้อนรับแขกมาตั้งแต่โบราณแล้ว
โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่และมักจะยินดีที่นักท่องเที่ยวมาเยือนอียิปต์ ในการสนทนา คนอียิปต์มักจะสบตาคู่สนทนาเพื่อเป็นการให้เกียรติและชอบใช้สัญลักษณ์ เช่น การใช้สัญญานมือประกอบการอธิบายต่างๆ ซึ่งสัญลักษณ์เหล่านี้แตกต่างจากสากล จึงควรที่จะเรียนรู้จากคนท้องถิ่นไว้บ้าง
การโอบกอดในที่สาธารณะ รวมทั้งแต่งกายให้สุภาพและรัดกุม ควรจะใช้ผ้าคลุมศีรษะเมื่อเข้าไปในมัสยิด หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ตามสถานที่สาธารณะ