เพราะซานฟรานซิสโกมีทั้งธรรมชาติที่สวยงาม อากาศเย็นสบาย และสดชื่นตลอดทั้งปี ได้รับฉายาว่าเป็นเมืองแห่งสายหมอก เพราะจะมีหมอกขาวปกคลุมอยู่เรื่อยๆ อีกทั้งยังมีแหล่งท่องเที่ยวเก๋ๆ ชิคๆ ให้ได้ไปเที่ยวชมหลากหลายแบบ กลายเป็นมนตร์เสน่ห์ที่ทำให้ซานฟรานซิสโกเป็นเมืองที่น่าอยู่มากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
ผู้คนที่นี่มีความเป็นกันเองสูงมาก อาจเป็นเพราะว่าประชากรที่ค่อนข้างมาก รวมถึงไลฟ์สไตล์ที่เน้นการเดิน และปั่นจักรยาน ทำให้เราได้พบปะผู้คนได้ใกล้ และง่ายกว่าการอยู่ที่อื่น เพราะการขับรถ และการคมนาคมมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง และอีกหนึ่งภาพลักษณ์ของซานฟรานซิสโกคือ แหล่งรวมของสตาร์ทอัพหลายเจ้าที่เป็นแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่
ว่ากันว่าในเมืองเล็กๆ แห่งนี้มีประชากรประมาณ 8 แสนคน อายุเฉลี่ยส่วนใหญ่อยู่ที่ประมาณ 20 – 30 ปี ถ้าไม่อย่างนั้นก็จะเป็นกลุ่มผู้สูงอายุที่มาใช้ชีวิตหลังเกษียณ ส่วนประชากรวัยทำงานนั้น เท่าที่มีการศึกษาพบว่ากลุ่มคนเหล่านี้มีความกังวลเรื่องค่าครองชีพเพราะบอกตรงๆ ว่าสูงมาก สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอเมริกาเกือบสามเท่า!
ซานฟรานซิสโก มีลักษณะภูมิประเทศที่เป็นเขาตั้งอยู่ริมชายฝั่งตะวันตกติดกับมหาสมุทรแปซิฟิก โอบล้อมด้วยผืนน้ำถึง 3 ด้าน ด้านตะวันตกติดมหาสมุทรแปซิฟิก ด้านตะวันออกติด อ่าวซานฟรานซิสโก ส่วนด้านเหนือติด ช่องแคบโกลเด้นเกท
เมืองซานฟรานซิสโก มีรูปร่างเกือบเหมือนสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดเล็กมีพื้นที่เพียง 121 ตารางกิโลเมตรเท่านั้น ทั้งยังขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองเต็มไปด้วยเนินลาดชันกว่า 40 เนิน เนินที่สูงที่สุดคือ Mount Davidson ที่มีความสูงถึง 925 ฟุต
การที่มีลักษณะภูมิประเทศเช่นนี้ทำให้สภาพอากาศแตกต่างกันในบางพื้นที่ และอาจไม่เหมือนกันในแต่ละย่าน ซึ่งเป็นอากาศที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดทุกช่วงเวลาของวัน แต่โดยรวมเป็นภูมิอากาศที่เย็นสบายๆ จนถูกขนานนามว่าเป็นเมืองติดแอร์ (The Air-Conditioned City) มีอุณหภูมิเฉลี่ยตลอดทั้งปีที่ประมาณ 15 องศาโดยอุณหภูมิสูงสุดอยู่ที่ประมาณ 20 องศาเซลเซียสไปถึงต่ำสุดเฉลี่ยประมาณ 7 องศา ซึ่งเป็นลักษณะภูมิอากาศคล้ายกับชายฝั่งเมดิเตอร์เรเนียนที่มีฤดูกาลหลักๆ 2 ฤดูคือ "Wet" และ "Dry" โดยประมาณเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนมีนาคมเป็นช่วงที่มีปริมาณน้ำฝนมากที่สุดของปี
จากสภาพอากาศที่มีความชื้นสูงทำให้ "หมอก" กลายเป็นเอกลักษณ์เด่นของซานฟรานซิสโก ซึ่งช่วงหน้าร้อนหมอกจะหนามากในตอนเช้า ถ้าอยากรับแสงแดดสดใสตลอดวัน ควรมาเที่ยวในช่วงเดือนกันยายนถึงพฤศจิกายน ในฤดูหนาวบางวันจะมีหมอกเกือบตลอดทั้งวัน ส่วนในเดือนอื่นๆ อากาศค่อนข้างสบาย เรียกได้ว่าเป็นเมืองที่สามารถมาเที่ยวได้ตลอดทั้งปี
ซานฟรานซิสโก ประชากรประมาณ 8 แสนกว่าคน ซึ่งเป็นเมืองที่มีความหนาแน่นประชากรเป็นอันดับสองของประเทศ เมืองซานฟรานซิสโกตั้งอยู่บริเวณอ่าวซานฟรานซิสโก ชาวยุโรปกลุ่มแรกที่มาตั้งรกรากในซานฟรานซิสโกคือชาวสเปน โดยในปี ค.ศ.1776 เมืองมีชื่อว่า เซนต์ฟรานซิส (St. Francis)
ในภายหลังจากช่วงยุคตื่นทองในปี ค.ศ.1848 ทำให้ประชากรในซานฟรานซิสโกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และเมืองเติบโตอย่างมาก ถึงแม้ว่าซานฟรานซิสโกจะประสบปัญหาแผ่นดินไหว และไฟไหม้ขนาดใหญ่ในช่วงปี ค.ศ.1906 ซานฟรานซิสโกกลับฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว และได้ชื่อว่าเป็นเมืองสำคัญเมืองหนึ่งในแถบชายฝั่งตะวันตกของประเทศ
จัดเป็นศูนย์กลางของความหลากหลายของเชื้อชาติ และวัฒนธรรมที่มาจากทั่วทุกมุมโลกแล้วมารวมกันอยู่ในเมืองนี้ ประชากรหลักของเมืองก็จะเป็นวัยรุ่นหรือวัยเกษียณที่เป็นคนสัญชาติอเมริกันดั้งเดิม และอีกกลุ่มที่เป็นประชากรกลุ่มใหญ่ไม่แพ้กันคือชุมชนจากคนจีนโพ้นทะเลหรืออเมริกัน-จีนที่มาตั้งรกรากในดินแดนทางแถบนี้
สกุลเงินของสหรัฐอเมริกา คือ ดอลลาร์สหรัฐอเมริกา (USD) โดยสามารถแลกเปลี่ยนเงินตราได้ที่ทำการของธนาคารทุกแห่ง หรือร้านแลกเงินที่มีชื่อเสียงก็ได้เช่นกัน
ตั้งอยู่ในโซนเวลา Pacific Time Zone (PST) จะมีเวลาช้ากว่าในประเทศไทย 15 ชั่วโมง และเดือนมีนาคม – เดือนเมษายน มีการปรับ Daylight Saving Time ให้เร็วขึ้น 1 ชั่วโมง และปรับเวลากลับให้เป็นไปตามเดิม กล่าวคือน้อยลง 1 ชั่วโมง ในช่วงเดือนตุลาคม-เดือนพฤศจิกายนของทุกปี
ขนาด 110 โวลต์ ปลั๊กแบบ 2 ขาแบน
จากหลักฐานทางโบราณคดีจารึกว่า ชาว Ohlone (ออกเสียง โอ-โลน-อี หรือ oh-lone-ee) หมายถึง คนตะวันตก (Western People) เป็นชาวเนทีฟอเมริกัน (Native American) ชนเผ่าดั้งเดิมที่ตั้งรกรากอยู่บนผืนดินแถบตะวันตกของอเมริกา รวมทั้งซานฟรานซิสโกในปัจจุบันเป็นเวลานานนับตั้งแต่ 3, 000 ปีก่อนคริสตศักราชก่อนที่กองทัพสเปนจะเข้ามารุกรานดินแดนในแถบนี้เมื่อปี 1769 อย่างบังเอิญที่ว่าบังเอิญนั้นเนื่องจากเป้าหมายแรกของสเปนอยู่ที่ อ่าวมอนเทอเรย์ (Monterey bay) ต่อมาในปี 1776 สเปนเริ่มขยายอาณาจักรคาทอลิก ด้วยการสร้าง
"Mission San Francisco de Asis" หรือ "Mission Dolores"
ซึ่งตั้งชื่อตามนักบุญ St. Francis of Assisi ถือเป็นโบสถ์คาทอลิกแห่งที่หกในแคลิฟอร์เนีย จากที่มีทั้งหมด 21 แห่ง พร้อมกับสร้างหมู่บ้านรอบๆ เขตนั้นเพียงไม่กี่ปีต่อมาดินแดนนี้เต็มไปด้วยมิชชันนารีผู้ออกปฏิบัติการสอนศาสนาแทรกแซงความเชื่อ และประเพณีดั้งเดิมของชาวท้องถิ่น Ohlone ปัจจุบันมิชชั่นแห่งนี้กลายเป็นจุดท่องเที่ยวสำคัญที่เก่าแก่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของซานฟรานซิสโกที่ยังคงหลงเหลืออยู่
นอกจากนี้กองทัพสเปนยังสร้างเขต Presidio ที่อยู่ทางตอนใต้ของโกลเด้นเกตให้เป็นที่ตั้งของฐานทัพด้วย โดยปัจจุบันเขตนี้กลายเป็นอุทยานแห่งชาติของสหรัฐฯ จากอาคารที่เคยเป็นที่พักของทหารผ่านศึก ปัจจุบันถูกบูรณะเป็นบ้านพักระดับหรู โดยพื้นที่ส่วนหนึ่งของอุทยานฯ มี George Lucas เป็นผู้ชนะการประมูล และสร้างเป็นอาณาจักร Lucus Film เป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่บริษัท Industrial Light and Magic และบริษัท LucasArts
ดินแดนแห่งนี้เป็นอิสระจากสเปน แต่ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของเม็กซิโก นำโดยชาวอังกฤษสัญชาติเม็กซิกันชื่อว่า William Richardson พร้อมด้วย Francisco de Haro ผู้พิพากษาคนแรกประกาศก่อตั้งดินแดนแห่งนี้โดยให้ชื่อว่า "Yerba Buena" เป็นภาษาสเปน หมายถึง "สมุนไพรดี" (Good Herb) เป็นเหตุให้อาณาจักรอเมริกันเริ่มมีความสนใจในการครอบครองดินแดนแถบนี้จนก่อให้เกิดสงครามเม็กซิกัน-อเมริกัน และในวันที่ 7 กรกฎาคม ค.ศ.1846 นาวาเอกพิเศษ John D. Sloat นำกำลังนาวิกโยธินเข้ายึดครองแคลิฟอร์เนีย ประกาศเป็นรัฐที่ 34 ของสหรัฐอเมริกา และอีก 2 ปีต่อมา นาวาเอก John B. Montgomery ประกาศยึดเมือง Yerba Buena และเปลี่ยนชื่อเป็น "San Francisco" นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1849 เป็นต้นมา
เพื่อเชื่อมต่อระหว่างตัวเมืองซานฟรานซิสโกกับเมืองมารีน เคาน์ตี (Marin County) มีความยาวทั้งหมดประมาณ 2.7 กิโลเมตร กว้าง 27 เมตร เปิดใช้ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1937 ถือได้ว่าเป็นสะพานแขวนที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เหมาะแก่การเดินเล่นหรือขี่จักรยานโดยมีสวนสาธารณะให้ได้ไปเดินเที่ยวชมสะพานแห่งนี้อีกหลายจุด อาทิ Battery Spencer และ Baker Beach เป็นต้น
หากไม่ได้มาชมสะพานนี้ก็เหมือนกับยังไม่ได้มาซานฟรานซิสโก สะพานโกลเด้นเกตกลายเป็นสถานที่ที่ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวทั่วโลก เมื่อสร้างเสร็จใหม่ๆ สะพานกลายเป็นสัญลักษณ์ของสหรัฐอเมริกาไปโดยปริยาย ปัจจุบันนี้เองผู้คนทั่วโลกเองก็ยังคงรู้จักสะพานโกลเด้นเกต และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันดับต้นๆ ของสหรัฐอเมริกา และจากผลการสำรวจสถานที่ที่น่าประทับใจของสถาบันสถาปนิกอเมริกัน พบว่าอยู่ในอันดับที่ 5 ของสถานที่ต่างๆ ในสหรัฐอเมริกา
ถนนลอมบาร์ด เป็นถนนที่ได้ชื่อว่าคดเคี้ยวที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ตั้งอยู่ระหว่าง Jones Street และ Hyde Street มีลักษณะเป็นถนนที่คดเคี้ยวแบบโค้งหักศอกอยู่บนเนินชัน มีทั้งหมด 8 โค้ง เป็นโค้งช่วงสั้น ๆ และแคบมาก การเดินรถจะเดินรถทางเดียว จากบนเนินเขาลงสู่ด้านล่าง รอบข้างของถนนเส้นนี้จะเป็นบ้านเรือนอันสวยหรูสไตล์วิคตอเรียน (Victorian Style) มีการประดับประดาถนนด้วยต้นไม้ และดอกไม้สวยงาม
โดยด้านบนสุดของถนนเส้นนี้จะสามารถมองเห็นวิวของอ่าวซานฟรานซิสโก, Bay Bridge และ Coit Tower ได้อย่างสวยงามสุด ๆ
ไม่ว่าใครได้มาเยือนซานฟรานซิสโกเป็นต้องมาเช็กอินที่นี่ทุกราย ร้านอาหารแถวนี้จึงมีอาหารทะเลสดๆ และบรรยากาศดีให้ได้ไปโดนเพียบ อีกทั้งยังอยู่ใกล้กับแหล่งท่องเที่ยวอื่น ๆ อาทิ เพียร์ 39, Maritime Museum, the Sea Lion Center, the Hyde Street Pier, Ghirardelli Square, Madame Tussauds, Alcatraz Island เป็นต้น
ท่าเรือเหล่านี้มีตัวเลขกำกับตั้งแต่ Pier 1 ไล่ไปเรื่อยๆ ปัจจุบันท่าเรือพวกนี้ไม่ได้ถูกใช้งานขนส่งสินค้าในแบบเดิมๆ แล้ว บางท่าเรือกลายเป็นที่จอดเรือเฟอร์รี่ เรือนำเที่ยว และมีท่าเรือแห่งหนึ่งที่ถูกเปลี่ยนเป็นย่านเดินเล่น ช้อปปิ้ง และกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของเมืองนี้ นั่นก็คือ Pier 39
ซึ่งนอกจากจะมีร้านค้า ร้านอาหารทะเล ท่ามกลางบรรยากาศสุดโรแมนติกของอ่าวซานฟรานซิสโกให้ได้ไปเที่ยวชิมลิ้มลองมากมาย ก็ยังมีสิ่งที่โดดเด่นเป็นจุดขายสำคัญของท่าเรือ Pier 39 นั่นคือ ฝูงเจ้าสิงโตทะเล สายพันธุ์ California Sea Lionsที่จะขึ้นมาเกือกกลิ้งนอนอาบแดดบริเวณนี้กันอย่างมากมาย กลายเป็นแหล่งเซลฟี่ที่ห้ามพลาดของซานฟรานซิสโกไปเลยล่ะ
เคยถูกใช้เป็นคุกขังนักโทษจากสงครามกลางเมือง มีการใช้งานมาประมาณ 80 ปี คือตั้งแต่ปี ค.ศ. 1850-1933 ปัจจุบันที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญของซานฟรานซิสโก ที่นี่เคยเป็นฉากในภาพยนตร์เรื่อง "The Rock" เป็นเกาะที่ได้ชื่อว่าเป็นคุกที่ไม่เคยมีใครแหกได้ และหลังจากที่มีนักโทษแหกคุกได้เกาะแห่งนี้ก็ปิด และกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว โดยมีเรือข้ามฟากไว้บริการ
อีกหนึ่งแลนด์มาร์กสำคัญของซานฟรานซิสโก มีลักษณะเป็นหอคอยสูงทรงกลมสีขาว ตั้งอย่างโดดเด่นอยู่บนยอดเขาเทเลกราฟ (Telegraph Hill) ซึ่งได้กลายมาเป็นจุดชมวิวเมืองซานฟรานซิสโกมุมสูงยอดนิยมในปัจจุบัน หากใครมีโอกาสขึ้นไปยังจุดชมวิวบนหอคอยก็จะได้ชมวิวเมืองซานฟรานซิสโก มองเห็น Bay Bridge อ่าวซานฟรานซิสโก Financial District สะพานโกลเด้นเกต เป็นต้น
เชื่อมต่อระหว่าง เมืองซานฟรานซิสโกกับเมืองโอ๊คแลนด์ (Oakland) ใน Alameda County ซึ่งจะทอดข้ามผ่าน Treasure Island ด้วย ชาวเมือง และนักท่องเที่ยวชอบที่จะไปนั่งชมวิว และสูดอากาศบริสุทธิ์กันบริเวณริมอ่าวเพื่อชมความงดงามของสะพานแห่งนี้ โดยเฉพาะยามเย็นที่บรรยากาศจะสวยงาม และโรแมนติกมาก
มีลักษณะเป็นสะพานแขวน เชื่อมต่อระหว่างเมืองซานฟรานซิสโกกับเมืองโอ๊คแลนด์ (Oakland) ใน Alameda County สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 282 เมตร นักท่องเที่ยวมักจะไปชมวิวเมืองกันในช่วงวันหยุด และยามเย็น โดยเฉพาะตอนกลางคืน วิวที่นี่จะสวยงามมาก สามารถมองเห็นดาวมากมายที่อยู่เหนือเมืองซานฟรานซิสโก ใครมีเวลาบอกเลยว่าห้ามพลาดที่จะไปเที่ยวชมที่นี่
เพราะที่นี่จะเป็นแหล่งรวมอาหารจีน และเอเชีย ใครที่คิดถึงอาหารรสชาติจัดจ้านหรืออาหารที่คุ้นปากแบบเอเชีย ก็ต้องไปเดินเล่นกันในย่านนี้ นอกจากนี้ไชน่าทาวน์ยังมีการตกแต่งประดับประดาอย่างสวยงาม เหมือนหลุดกลับเข้ามาในเอเชียเลย
โดยเฉพาะภาพฉากหลังที่งดงามที่สุดของบริเวณ Alamo Square คือ บ้านเก่าแก่สไตล์วิกตอเรียน (Seven Sisters) หรือ Painted Ladies เป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์ค ที่ห้ามพลาดของซานฟรานซิสโก มีลักษณะเป็นบ้านเรือนเก่าแก่ในสไตล์วิคตอเรียน (Victorian) ตั้งเรียงรายกัน 7 หลัง อยู่ริมถนน Steiner Street ซึ่งเป็นแนวชัน อยู่ระหว่างบ้านเลขที่ 710–720 บ้านเรือนเหล่านี้โดดเด่นด้วยสีสันแบบพาสเทล ด้านหน้าจะมีสนามเด็กเล่น ซึ่งชาวเมืองและนักท่องเที่ยวต่างชอบที่จะมานั่งพักผ่อนกันบริเวณนี้
โดยเริ่มมีการใช้มาตั้งแต่ปี ค.ศ.1873 ปัจจุบันให้บริการ 3 เส้นทาง คือ Powell-Hyde Line, Powell-Mason Line และ California Line สิ่งที่น่าสนใจของการมาใช้บริการเคเบิลคาร์ ซานฟรานซิสโก ก็คือการที่รถรางวิ่งไปตามเส้นทางที่บางช่วงก็เป็นเนินชัน ทำให้นักท่องเที่ยวตื่นเต้น และสนุกสนานกับการโดยสารรถสาธารณะ อีกทั้งตัวรถยังมีรูปแบบคลาสสิก มีทั้งพื้นที่เปิดโล่ง และห้องกระจก ทำให้นักท่องเที่ยวได้ชมทัศนียภาพที่สวยงามของเมืองซานฟรานซิสโกไปในตัวอีกด้วย
เพราะที่นี่เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจที่สำคัญของเมือง มีห้างสรรพสินค้า ร้านค้าแบรนด์ดัง รวมทั้งแหล่งช้อปปิ้งอย่าง Union Square ก็อยู่ไกลจากที่นี่ ถ้าใครอยากเห็นซานฟรานซิสโกในรูปแบบแห่งความทันสมัย ก็ต้องให้มาลองเดินเล่นบนถนนเส้นนี้กัน ยิ่งไปกว่านั้น California Street ยังเป็นถนนที่มีความต่างระดับ สูงชันไปตามเนิน ถ้าอยู่ด้านบนของถนนทางฝั่ง Nob Hill แล้วมองมายังฝั่ง Financial District ก็จะเห็นถนนเส้นนี้มีความสูงชัน และยังมองเห็นวิวของ Bay Bridge ได้ไกล ๆ อีกด้วย
สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1915 เพื่อจัดงานเอ็กซ์โปในยุคนั้น หลังจากเสร็จสิ้นงาน พื้นที่โดยรอบที่เหลือทั้งหมดถูกนำไปใช้เป็นที่อยู่อาศัย เหลือเพียงพื้นที่ของอาคาร Palace of Fine Art แห่งนี้ที่ยังคงเหลืออยู่
ปัจจุบัน Palace of Fine Arts ถูกปรับปรุงใหม่เป็นสวนสาธารณะ สถานที่พักผ่อนหย่อนใจ และสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญ
ตั้งอยู่ใจกลางเมือง เป็นแหล่งช้อปปิ้งของนักช้อปโดยแท้ เป็นศูนย์รวมแฟชั่นในห้างสรรพสินค้า และร้านบูติกหรูหรา นี่แหละคือที่ที่จะได้ช้อปสินค้าไฮเอนด์อย่าง Louis Vuitton, Chanel, Prada, Burberry และ Hugo Bossถ้าอยากได้ประสบการณ์ช้อปปิ้งแบบซานฟรานซิสโกแท้ๆ ขอให้ตรงไปที่ Gump's ซึ่งบรรดาผู้มีอันจะกินมาซื้อของตกแต่งบ้าน เดินเล่นแค่ไม่กี่ช่วงถนนคุณก็สามารถมีลุคล้ำสมัยเหมือนเพิ่งมาจากแคทวอล์ก หรือจะเลือกซื้อของเก่าหรือเครื่องประดับแบบคลาสสิกก็ยังได้ ที่ยูเนียนสแควร์นั้นคุณช้อปได้ตลอดทั้งปี แต่เวลาที่เงียบเหงาที่สุดสำหรับร้านค้าก็คือในช่วงเช้าตรู่ ศูนย์กลางการค้าปลีกของเมืองนี้ก่อตั้งขึ้นโดย John Geary นายกเทศมนตรีคนแรกของเมืองในปี ค.ศ. 1850 และตั้งชื่อตามการรณรงค์สนับสนุนฝ่ายสหภาพในสงครามกลางเมืองซึ่งทำการรณรงค์กันที่นี่ ชื่อยูเนียนสแควร์นั้นหมายถึงสวนที่อยู่ติดกับถนน Geary, Powell, Post และ Stockton สถานที่นี้ถูกจัดตั้งขึ้นเป็นพื้นที่สีเขียว และเป็นพลาซ่าสาธารณะ
เมื่อถึง ค.ศ.1880 ที่นี่เป็นเขตที่พักอาศัยที่ทันสมัย แต่เหตุเพลิงไหม้ซานฟรานซิสโกที่โด่งดัง และแผ่นดินไหวในปี ค.ศ.1906 ทำให้โรงแรม และร้านค้าในบริเวณนี้เสียหายไปหมดสิ้น หลังจากนั้นได้มีการฟื้นฟูขึ้นใหม่ และดียิ่งกว่าเดิม และยูเนียนสแควร์ในปัจจุบันเป็นแหล่งช้อปปิ้ง และที่รับประทานอาหารชั้นนำที่มีชีวิตชีวา และยังคงบรรยากาศของประวัติความเป็นมาที่ยาวนาน
ที่ใจกลางพลาซ่าสาธารณะนี้มี อนุสรณ์สถาน Dewey Monument ซึ่งเป็นเสาสูงแบบโครินเธียน บนยอดเสามีรูปปั้นสำริดของเทพีวิคตอรีถือสามง่าม อนุสรณ์สถานนี้รำลึกถึงชัยชนะอันเด็ดขาดของพลเรือเอก George Dewey ในอ่าวมะนิลาในสงครามระหว่างสเปน และอเมริกา นอกจากนี้ยังมีประติมากรรมศิลปะยุคใหม่ให้ชม และมีที่ให้นั่งเพลิดเพลินกับแสงแดด และชมผู้คนเดินผ่านไปมาได้ทั้งในร้านคาเฟ่ และตามบันไดหิน
ร้านที่มีชื่อเสียงที่สุดของย่านนีคือร้าน Marine Layer ค่ะ ร้านนี้ทำเสื้อยืดคอกลมด้วยเส้นใยที่เป็นวัสดุรีไซเคิล นอกจากจะมีเสื้อยืดที่ได้รับความนิยมมาก ๆ แล้ว ยังมีทั้งชุดว่ายน้ำ และเสือผ้าสำหรับทั้งหญิงชาย ถ้าต้องการเสื้อผ้าที่มีคุณภาพดี อีกร้านที่แนะนำคือ ร้าน Taylor Stitch มีเสื้อผ้ามากมายให้เลือก และเป็นการสนับสนุนแบรนด์ท้องถิ่นด้วยค่ะ
ที่ใจกลางพลาซ่าสาธารณะนี้มี อนุสรณ์สถาน Dewey Monument ซึ่งเป็นเสาสูงแบบโครินเธียน บนยอดเสามีรูปปั้นสำริดของเทพีวิคตอรีถือสามง่าม อนุสรณ์สถานนี้รำลึกถึงชัยชนะอันเด็ดขาดของพลเรือเอก George Dewey ในอ่าวมะนิลาในสงครามระหว่างสเปน และอเมริกา นอกจากนี้ยังมีประติมากรรมศิลปะยุคใหม่ให้ชม และมีที่ให้นั่งเพลิดเพลินกับแสงแดด และชมผู้คนเดินผ่านไปมาได้ทั้งในร้านคาเฟ่ และตามบันไดหิน
ถึงแม้ว่าคนที่นั้นเขาจะไม่พูดอะไร แต่เขาไม่ค่อยชอบสักเท่าไหร่ ถ้าจะเรียกย่อๆ ให้เรียกว่า SF จะดีกว่า
ตั้งอยู่บนหัวมุมถนนยูเนียนตัดกับ ถนนไฮด์ (Union Street & Hyde Street) ซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา ก่อตั้งเมื่อปีค.ศ. 1948 โดย Mr. Ealre Swensen โดยมีสโลแกนที่คุ้นหูจาก Swensen’s นั่นคือ “ความสุขที่ไม่มีวันละลาย” และคติในการทำไอศกรีมของคุณปู่ Ealre คือ “Good as Father Used to Make”
โดยไอศกรีมวนิลา เป็นรสดั้งเดิมที่ขายดีที่สุดตั้งแต่เริ่มเปิดร้าน
ซานฟรานซิสโกนั้นถือว่าเป็น สมาร์ท ซิตี้ ที่ค่อนข้างจะไฮเทค ความหวังของคนเมืองนี้คือ อยากจะให้เมืองนี้ไม่มีของเสียเลยในปี 2020
ซานฟรานซิสโก คือแหล่งรวมของสตาร์ทอัพหลายเจ้าที่เป็นแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่เดินทางมาที่นี่ เพราะนอกจากการเรียนแล้ว พวกเขาอาจมีโอกาสได้เจอกับนักธุรกิจหรือเจ้าของกิจการในวัยที่ใกล้กัน ตามร้านกาแฟ ร้านอาหาร หรือได้รับเชิญไปบรรยายในสถานศึกษา และเรารู้สึกว่านี่ละคือการเติบโตของคนรุ่นใหม่อย่างแท้จริงที่กล้าคิด และกล้าทำ เดินทางมาที่นี่ ตัวอย่างสตาร์ทอัพที่มีชื่อเสียง เช่น Pinterest, Uber, Twitter, Air binb เป็นต้น