ข้อมูลทั่วไป

สวิตเซอร์แลนด์ (อังกฤษ: Switzerland; เยอรมัน: die Schweiz; ฝรั่งเศส: la Suisse; อิตาลี: Svizzera) มีชื่อทางการว่า สมาพันธรัฐสวิส (Swiss Confederation) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์เป็นประเทศที่มีชื่อเสียงเรื่องความงดงามของทิวทัศน์ ภูเขาและทุ่งหญ้าที่สวยงาม มาตรฐานความเป็นอยู่ที่สูง ธุรกิจธนาคาร นาฬิกา ผลิตภัณฑ์นมและเนย สถานที่ท่องเที่ยว ที่พักตากอากาศ และนโยบายเรื่องการพัฒนาที่ยั่งยืน ชาวสวิสทั่วไปมีนิสัยรักความสงบ ความสะอาดเรียบร้อยและเป็นระเบียบ

ที่ตั้งและเมืองสำคัญ

ที่ตั้ง

สมาพันธรัฐสวิสหรือสวิตเซอร์แลนด์ตั้งอยู่กลางทวีปยุโรป ล้อมรอบด้วยเทือกเขาแอลป์ เป็นประเทศที่ไม่มีทางออกทะเล

ทิศเหนือจรดสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี

ทิศตะวันออกจรดออสเตรีย และลิคเตนสไตน์

ทิศใต้จรดอิตาลี

ทิศตะวันตกจรดฝรั่งเศส

พื้นที่

41,290 ตารางกิโลเมตร เล็กกว่าประเทศไทยถึง 12 เท่า พื้นที่ส่วนใหญ่ 2 ใน 3 อยู่บนเทือกเขาแอลป์ ซึ่งทอดยาวจากทิศตะวันตก


ภูมิศาสตร์

พื้นที่มากกว่า 70% เป็นเขตภูเขา คือ เทือกเขาแอลป์ มีแม่น้ำสำคัญ คือ แม่น้ำไรน์ แม่น้ำโรน แม่น้ำทิซิโน และแม่น้ำอิน ทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญมีเพียง หินแกรนิต หินปูน และหินที่ใช้ในการก่อสร้างเท่านั้น


สมาพันธรัฐสวิส แบ่งภูมิประเทศออกเป็น 3 ส่วนใหญ่ๆ ดังนี้

พื้นที่มากกว่า 70% เป็นเขตภูเขา คือ เทือกเขาแอลป์ มีแม่น้ำสำคัญ คือ แม่น้ำไรน์ แม่น้ำโรน แม่น้ำทิซิโน และแม่น้ำอิน ทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญมีเพียง หินแกรนิต หินปูน และหินที่ใช้ในการก่อสร้างเท่านั้น


  • บริเวณเทือกเขาแอลป์ของสวิส เรียกว่า ชไวเซอร์ อัลเพิน
  • บริเวณส่วนกลางของประเทศซึ่งมีลักษณะเป็นเนินเขา เรียกว่า ชไวเซอร์
    มิทเทลลันด์
  • บริเวณจากทะเลสาบโบเดนเซ ไปจนถึงทะเลสาบเกนเฟอร์ (ทะเลสาบเจนีวา) เรียกว่า ชไวเซอร์ ยูรา

เมืองสำคัญ

สวิตเซอร์แลนด์เป็นสมาพันธรัฐที่ประกอบด้วย 23 พันธรัฐ (Canton) และ 3 กึ่งพันธรัฐ (Half canton) มีเมืองสำคัญๆ คือ

ภูมิอากาศ

Spring

ฤดูใบไม้ผลิ

เดือน มีนาคม – พฤษภาคม

อุณหภูมิเฉลี่ยจะอยู่ระหว่าง 6-13 องศาเซลเซียส

Summer

ฤดูร้อน

เดือน พฤษภาคม – กันยายน

ช่วงนี้อากาศจะร้อนถึงร้อนมากและไม่ค่อยมีฝนตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเดือนกรกฏาคม และสิงหาคมจะเป็นช่วงที่ร้อนที่สุดของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ อุณหภูมิในช่วงเวลากลางวันจะอยู่ระหว่าง 20-28 องศาเซลเซียส และอุณหภูมิในตอนกลางคืนจะลดลงเหลือประมาณ 15-20 องศาเซลเซียส

Autumn

ฤดูใบไม้ร่วง

เดือน กันยายน – พฤศจิกายน

ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีฝนตกชุกมากที่สุด ในบางปีก็มีฝนตกติดต่อกันเป็นอาทิตย์ บางปีก็ตกวันเว้นวัน อุณหภูมิในช่วงนี้จะเริ่มละต่ำลงไปที่ 7-13 องศาเซลเซียสเท่าๆ กับตอนฤดูใบไม้ผลิ

Winter

ฤดูหนาว

เดือน พฤศจิกายน – มีนาคม

ช่วงกลางเดือนธันวาคมจนถึงปลายมกราคมอากาศจะหนาวจัด อุณหภูมิเฉลี่ยใน Jungfraujoch หรือ Zermatt

โซนเวลา

Daylight Savings time ตั้งแต่สิ้นเดือนมีนาคม จนถึงสิ้นเดือนตุลาคม เวลาในสวิตเซอร์แลนด์จะเปลี่ยนจาก GMT+1 เป็น GMT+2 (ช้ากว่าประเทศไทย 6 ชั่วโมง และ 5 ชั่วโมง ตามลำดับ) โดยเริ่มตั้งแต่คืนวันอาทิตย์สุดท้ายของเดือนมีนาคม เวลา 02.00 น. ใช้เวลา GMT+2 และตั้งแต่คืนวันอาทิตย์ สุดท้ายของเดือนตุลาคม เวลา 03.00 น. ใช้เวลา GMT+1

เรื่องน่ารู้

ประชากร

7.28 ล้านคน (ค.ศ.2001) เป็นชาวสวิสเยอรมันร้อยละ 65 สวิสฝรั่งเศสร้อยละ18 สวิสอิตาเลียนร้อยละ10 โรมานช์ร้อยละ 1 อื่น ๆ ร้อยละ 6

ภาษา

ภาษาราชการ มี 4 ภาษา คือ

เยอรมัน (ร้อยละ 64)เป็นภาษาที่มีการพูดกว้างขวางที่สุดในประเทศ ทางภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวม 19 รัฐใน 26 รัฐ

ฝรั่งเศส (ร้อยละ 19) คนส่วนใหญ่ที่พูดภาษาฝรั่งเศสในประเทศสวิตเซอร์แลนด์นั้นจะอยู่ในภาคตะวันตกของประเทศ โดยมี 4 รัฐด้วยกันคือ เจนีวา, ชูรา, นิดวัลเดิน และโว และมีอีก 3 รัฐ (เบิร์น, ฟรีบูร์ก และวาเล) ที่ใช้ทั้งภาษาเยอรมัน และฝรั่งเศสในการสื่อสาร

อิตาเลียน (ร้อยละ 8)ทางภาคใต้ในรัฐทีชิโน และอีก 4 หมู่บ้านทางใต้ของรัฐเกราบึนเดิน

โรมันช์ (ร้อยละ 1)(Rhaeto-Romanic – ภาษาละตินโบราณ) ส่วนใหญ่จะถูกใช้ในรัฐเกราบึนเดินซึ่งใช้ภาษาในการสื่อสารมากถึง 3 ภาษา (ภาษาโรมาเนีย, ภาษาเยอรมัน และภาษาอิตาลี) ซึ่งภาษาโรมาเนียนั้นจะคล้ายกับภาษาอิตาเลียนและฝรั่งเศส ซึ่งมีรากฐานของภาษามาจากละติน และยังใช้พูดกันในชนกลุ่มน้อยของมณฑล กริซองส์ (Grisons)

ภาษาอื่น ๆก็คือ ภาษาอังกฤษไม่ต้องกังวลไปเพราะคนที่นี่ก็พูดภาษาอังกฤษได้ทั่วไปโดยเฉพาะในเมืองและแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ

ศาสนา

ศาสนาในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ไม่ได้กำหนดศาสนาประจำชาติไว้ แต่อย่างไรก็ตามรัฐส่วนใหญ่ในประเทศ (ยกเว้นรัฐ Geneva และ Neuchâtel) ต่างก็มีโบสถ์ ประจำรัฐ ซึ่งประชากรในประเทศจะนับถือศาสนาคริสต์เป็นส่วนใหญ่แบ่งเป็น

  • นิกายโปแตสแตนท์

    ร้อยละ 42.5

  • นิกายคาทอลิก

    ร้อยละ 41

  • อื่นๆ

    ร้อยละ 16.5

โทรศัพท์

สามารถใช้โทรศัพท์สาธารณะทั่วประเทศ โทรไปยังที่ต่างๆ ทั่วโลก โดยหมุนหมายเลขรหัสประเทศนำ ตามด้วยหมายเลขเมือง เบอร์โทรของประเทศไทย คือ

0066 + จังหวัด
+ หมายเลขโทรศัพท์

โทรศัพท์ มีโทรศัพท์ทางไกลทั้ง หยอดเหรียญและใช้การ์ดโฟน

ระบบไฟฟ้า

ระบบไฟฟ้าที่ใช้สำหรับอุปกรณ์ไฟฟ้าทุกชนิด คือ 220 โวลต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็กๆส่วนใหญ่ใช้กับปลั๊กมาตรฐานของภาคพื้นยุโรป แต่หัวปลั๊กอาจจะไม่เหมือนกับในประเทศไทย จึงควรนำตัวปรับเปลี่ยน (Adapter) ไปด้วย

ซ็อกเก็ตของสวิสปิดภาคเรียนเป็นสามรูรูปหกเหลี่ยมและไม่สามารถใช้ได้กับปลั๊กหลายตัวจากต่างประเทศ อย่างไรก็ตามโดยปกติแล้วจะใช้ปลั๊กสองง่ามมาตรฐานของยุโรป

หน่วยเงินตรา

เงินตราของสวิตเซอร์แลนด์ เรียกว่า สวิสฟรังก์ (Franc) ธนบัตรสวิสมีมูลค่า 10,20,50,100,500,1000 ฟรังก์ เงินเหรียญมีมูลค่า 5,10,20,50 เซนต์ (Centimes) และ 1,2 ฟรังก์ สามารถแลกเปลี่ยนเงินตราได้ตามธนาคารทุกแห่ง ท่าอากาศยาน สถานีรถไฟใหญ่ๆ และโรงแรมทั่วไป แต่การแลกเปลี่ยนที่ธนาคารจะได้อัตราดีที่สุด

สำหรับเงินสกุลยูโร เริ่มได้รับการยอมรับจากร้านค้าบางแห่งตามเมืองใหญ่ๆ เมืองท่องเที่ยวและเมืองชายแดน แต่อาจได้รับเงินทอนเป็นฟรังก์สวิส

สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ

เมืองซูริค

Zürich

เป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศสวิตเซอร์แลนด์และเป็นเมืองหลวง ตั้งอยู่ทางภาคกลางตอนเหนือของประเทศ ซูริคได้ถูกก่อตั้งมานานกว่า 2,000 ปี โดยชาวโรมันช่วง 150 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งขณะนั้นซูริค มีชื่อเรียกว่า Turicum อย่างไรก็ตามร่องรอยการเข้าอยู่อาศัยในซูริค ได้ถูกค้นพบว่ายาวนานถึง 6,400 ปีแล้ว ในช่วงยุคกลาง ซูริค ได้รับเอกราชเมื่อปี ค.ศ. 1519 และเป็นศูนย์กลางการปฏิวัติศาสนาคริสต์นิกายโปรแตสแตนท์ในยุโรปภายใต้การนำของ Ulrich Zwingli ซูริคยังเป็นเมืองศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศและของทวีปยุโรปเป็นศูนย์กลางของระบบการขนส่งมวลชนของประเทศ อาทิ ระบบขนส่งรถไฟ เส้นทางการคมนาคม การจราจรทางอากาศ โดยเป็นที่ตั้งของสนามบินและสถานีรถไฟที่ใหญ่ที่สุดและการจราจรหนาแน่นที่สุดในประเทศ ซูริคขึ้นชื่อเรื่องมนต์เสน่ห์ของเมืองยุโรปโบราณที่มีงานสถาปัตยกรรมแบบเก่ากระจัดกระจายอยู่รายล้อมเมือง ในขณะเดียวกันก็เป็นเมืองที่มีความเจริญทางเทคโนโลยีสมัยใหม่

ซูริคเป็นเมืองชั้นนำของโลกและเป็นหนึ่งในเมืองที่มีศูนย์กลางทางการเงินขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งซึ่งตรงข้ามกับจำนวนประชากรที่ค่อนข้างน้อยของประเทศ เป็นที่ตั้งของสถาบันทางการเงินและการธนาคารยักษ์ใหญ่มากมาย อีกทั้งยังเป็นศูนย์รวมของศูนย์วิจัยและศูนย์พัฒนาของประเทศ เนื่องจากมีการเก็บภาษีในอัตราที่ต่ำ ซูริคจึงดึงดูดให้นักลงทุนจากต่างชาติเข้ามาตั้งบริษัทของตนเป็นจำนวนมากและถูกยกให้เป็นหนึ่งในอันดับต้นๆ ของเมืองที่มีคุณภาพชีวิตดีที่สุดในโลกอีกด้วยให้ซูริคเป็นเมืองที่มีคุณภาพชีวิตประชากรดีที่สุดของโลกและเป็นเมืองที่ร่ำรวยที่สุดในสหภาพยุโรป


Zürich

ถนนบาห์นฮอฟสตราสเซอ

Bahnhofstrasse

เป็นถนนอันลือชื่อที่มีความยาวประมาณ 1.4 กิโลเมตร เป็นถนนที่เป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติว่าเป็นถนนช้อปปิ้ง ศูนย์กลางแห่งเมืองซูริคที่นับเป็นจุดเริ่มต้นของการท่องเที่ยวซูริคเลยก็ ว่าได้ ที่นี่เป็นย่านสำหรับพบปะ มีร้านค้าให้ได้เลือกซื้อของกันมากมาย โดยตลอดสองข้างทางล้วนแล้วแต่เป็นที่ตั้งของห้างสรรพสินค้า ร้านแบรนด์เนมได้เลือกดูกันจนได้รับการขนานนาม ว่าเป็นถนนที่แพงที่สุดในโลก ไม่ว่าจะเป็น Gucci, Armani, Prada, Chanel, Dior, Burberry, เป็นต้น ร้านค้าอัญมณี ร้านเครื่องประดับ ร้านนาฬิกาและโรงแรมระดับหรูเป็นจำนวนมาก หรือถ้าใครไม่ชอบช็อปปิ้งเราสามารถได้เดินเล่นเที่ยวชมบรรยากาศที่ทะเลสาบได้


Zürich

ทะเลสาบซูริค

Lake Zurich

ปลายสุดถนนบาห์นฮอฟสตราสเซอทางใต้ทอดไปจรดกับทะเลสาบซูริค เป็นทะเลสาบแคบๆ แต่ยาวลงไปทางทิศใต้ 30 กิโลเมตร จากซูริค ถึง รัพเพอร์สวิล (Rapperswil) โดยมีทางน้ำเชื่อมต่อกับทะเลสาบอีกส่วนยาวออกไปอีก 10 กิโลเมตรจึงทำให้ดูยาวไปอีก


Zürich

ย่านเมืองเก่า

Old Town Area (Altstadt)

บรรยากาศและถนนหนทางสิ่งก่อสร้างในยุคกลาง เริ่มจาก ลิน เดนฮอฟ (Lindenhof) เนินเขาเตี้ยๆ ริมฝั่งแม่น้ำลิมมัตสูงพอจะเป็นจุดชมวิวเขตเมืองเก่าที่อยู่อีกฝั่งของแม่น้ำอย่างชัดเจน บนเนิน ลูกนี้เป็นจุดที่มีการค้นพบ ทูริคุม (Turicum) ซากปรักหักพังของป้อมปราการชาวโรมันที่เข้ามาตั้งเมืองตั้งแต่ 15 ปีก่อนคริสตศักราช ลงจากเนินไปทางใต้ทางถนนแคบๆ ที่ปูด้วยหินมีบ้านเรืองสูงเก่าๆ ตั้งเรียงรายสลับอยู่กับร่องรอยของกำแพงเมืองเก่า มีโบสถ์ที่น่าแวะหลายแห่ง มีหอคอยปลายแหลมติดตั้งนาฬิกาหน้าปัด ถือว่าใหญ่ที่สุดในยุโรป แต่ตัวโบสถ์จริงๆ ไม่ได้ใหญ่โตมากนัก เมือเทียบกับ มหาวิหารเฟรามึนสเตอร์ (Fraumunster) ที่อยู่ถัดลงไปโดดเด่นด้วยหอคอยปลายแหลมสีฟ้าสูงชะลูดมีนาฬิกาเรือนใหญ่ประดับสี่ด้าน มีความคลาสสิคอยู่ไม่น้อย


Altstadt

เมืองลูเซิร์น สะพานไม้ชาเปล

Chapel Bridge

สะพานไม้ชาเปล แลนด์มาร์คสำคัญของเมืองลูเซิร์น สร้างขึ้นในปี 1333 มีอายุมากกว่า 600 ปี ทอดข้ามผ่านแม่น้ำรอยซ์ เดิมสร้างขึ้นเพื่อป้องกันเมืองลูเซิร์น ตัวสะพานเป็นสีน้ำตาลและด้านบนของสะพานทาสีแดง ภายในสะพานมีภาพวาดประมาณ 120 ภาพเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของเมืองลูเซิร์นที่วาดในศตวรรษที่ 17 น่าเสียดายที่ตัวสะพานส่วนใหญ่ถูกไฟไหม้ในปี 2536 เนื่องจากอุบัติเหตุเรือชนกัน มันถูกสร้างขึ้นใหม่อย่างรวดเร็วและบูรณะให้กลับสู่สภาพเดิม มีหอส่งน้ำแปดเหลี่ยมสูง 140 ฟุต (Wasserturm) อยู่ตรงกลางสะพานซึ่งก่อด้วยอิฐ หอคอยกลางน้ำนี้เดิมใช้เป็นคุกทรมานหอสังเกตการณ์และห้องนิรภัย

บริเวณด้านข้างสะพานไม้ชาเปล จะมีตลาดนัดสุดสัปดาห์ ตลาดท้องถิ่นอันแสนคึกคัก เรียกได้ว่าเป็นความสนุก ความสุขเล็กๆ ของเมืองลูเซิร์น ตลอดสองข้างทางจะเต็มไปด้วยพืชผักท้องถิ่นนานาพันธุ์ ผลไม้สีสวยหลากชนิดหน้าตาน่าลองทาน ดอกไม้หลากสี ต้นไม้เล็กๆ วางเรียงรายแต่งแต้มสีสันสดใสให้ท้องถนนกลางเมืองลูเซิร์น


Lucerne

ยอดเขาพิลาตุส

Pilatus

ยอดเขาพิลาตุส (Pilatus) หรือภูเขามังกร เป็นยอดเขาคู่บ้านคู่เมืองลูเซิร์น ตั้งอยู่ห่างจากเมืองลูเซิร์นประมาณ 10 กิโลเมตร โดยรถไฟขึ้นสู่ยอดเข้าพิลาตุสเป็นเส้นทางรถไฟฟันเฟืองที่สูงชันที่สุดในโลก ซึ่งมีความชันถึง 45 องศา ทำให้การนั่งรถไฟขึ้นสู่ยอดเขาพิลาตุสนั้นมีความตื่นเต้นและตามตำนานเล่าว่า มีมังกรหินตกจากท้องฟ้าในปี 1420 ผู้ว่าราชการจังหวัดโรมัน ปอนติอุสปิลาตุส (Pontius Pilatus) ถูกฝังอยู่ในทะเลสาบพิลาตุส (Pilatus)และในตำนานยังเชื่อว่าเป็นคนโบราณยืนเฝ้าอยู่หน้าถ้ำ เทือกเขาพิลาตุส (Pilatus) ตั้งอยู่บนพื้นที่สูงเหนือระดับน้ำทะเล 2,132 เมตร ตั้งอยู่ในเขตเมืองลูเซริ์น (Lucerne) และสถานที่แห่งนี้ยังทำให้เราได้สัมผัสความงดงามที่ธรรมชาติได้สร้างสรรค์ขึ้น


Pilatus

เมืองอินเทอร์ลาเคน

Interlaken

อินเทอร์ลาเคน เป็นหนึ่งในเมืองยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยว ถูกขนาบข้างด้วย 2 ทะเลสาบ คือ ทะเลสาบเบรียนซ์ (Lake Brienz) และทะเลสาบทูน (Lake Thun)

ที่มาของชื่อ อินเทอร์ลาเคน มีความหมายว่า ‘เมืองระหว่างสองทะเลสาบ’ ตัวเมืองบรรยากาศคึกคักไปด้วยผู้คน ถนนสายหลักเรียงรายด้วยร้านค้าอาหารให้เลือกซื้อเลือกกินแทบทุกชาติทุกแบรนด์ หากมีโอกาสเดินเล่นจากฝั่งเหนือสู่ฝั่งใต้เลียบแม่น้ำไปเรื่อยๆ จะเจอเขตเมืองเก่า ชมตึกรามบ้านช่องแบบโบราณสไตล์สวิสน่ารักท่ามกลางธรรมชาติที่สวยงาม

Interlaken

ยอดเขาจุงเฟรา

Jungfrau

หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิตของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ก็คือ ยอดเขาจุงเฟรา (Jungfrau) โดยมี สถานีรถไฟจุงเฟรายอค (Jungfraujoch) ซึ่งเป็นสถานีรถไฟที่สูงที่สุดในยุโรป (Top of Europe) ตั้งอยู่ด้านบนยอดเขาจุงเฟรา (Jungfrau) เป็นหนึ่งในยอดเขาที่สูงที่สุดของเทือกเขาแอลป์ในทวีปยุโรป ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับเมืองอินเทอร์ลาเคน (Interlaken) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มีความสูงจากระดับน้ำทะเลมากกว่า 4,000 เมตร ได้รับการจดทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก เมื่อปี ค.ศ. 2007


Jungfrau

สถานีรถไฟจุงเฟรายอค

Jungfraujoch

การที่จะขึ้นไปทำความรู้จักกับจุงเฟราได้นั้นมีวิธีเดียวคือการนั่งรถไฟขึ้นไป โดยมี 2 เส้นทางให้เลือก คือ Lauterbrunnen และ Grindelwald ซึ่งทั้งสองเส้นทางจะวิ่งผ่านหมู่บ้าน และทุ่งหญ้า ค่อยๆ ไต่ความสูงขึ้นไปจนถึงสถานีรถไฟจุงเฟรายอค (Jungfraujoch) ที่ความสูง 3,454 เมตร ซึ่งเป็นสถานีรถไฟที่สูงที่สุดในยุโรป

เมื่อถึงสถานีปลายทาง นักท่องเที่ยวจะได้พบกับพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์การสร้างทางรถไฟสายนี้ ที่จัดแสดงในอุโมงค์ยาวพร้อมทั้งมี ถ้ำน้ำแข็ง (Ice Palace) ที่มีรูปปั้นแกะสลัก และอุโมงค์ถ้ำน้ำแข็งให้ได้เที่ยวชมอีกด้วย จุดที่นักท่องเที่ยวต้องไม่พลาดก็คือบริเวณจุดชมวิว นักท่องเที่ยวสามารถออกไปสัมผัสกับหิมะสีขาวโพลนบนพื้นที่ภูเขาที่สูงมากๆ พร้อมกับชมทัศนียภาพของธารน้ำแข็ง Aletsch ซึ่งเป็นธารน้ำแข็งที่ใหญ่มากๆ อีกแห่งหนึ่งในยุโรป และต้องขึ้นไปที่หอคอย Sphinx ซึ่งมีความสูงถึง 3,571 เมตร บนคอหอยจะสามารถชมวิวได้แบบ 360 องศา มองเห็นเห็นดอกไม้สีสันสดใส พร้อมภูเขาสีเขียวก็มาในช่วงฤดูใบไม้ผลิ แต่ถ้าใครอยากเห็นหิมะแบบจัดเต็มก็ตะลุยไปเลยในช่วงหน้าหนาว


Jungfraujoch

ยอดเขากลาเซียร์ 3000

Glacier 3000

เป็นยอดเขาในสวิตเซอร์แลนด์ เป็นส่วนหนึ่งของ ภูเขากูดสตาร์ด (Gstaad Mountain) สูงกว่าระดับน้ำทะเล 3,000 เมตร จาก ภูเขากูดสตาร์ด (Gstaad Mountain) ภูเขากูดสตาร์ด (Gstaad Mountain) เดินทางโดยกระเช้า 360 องศา ขึ้นสู่ยอดเขากลาเซียร์ บนยอดเขาสามารถมองเห็นวิวยอดเขาสำคัญๆ ของสวิตเซอร์แลนด์ ได้แก่ จุงเฟรา, แมทเทอร์ฮอร์น และ มองท์ บลองซ์ ได้อย่างชัดเจน


Glacier 3000

ทะเลสาบทูน

Lake Thun

เป็นทะเลสาบบริเวณเทือกเขาแอลป์ ตั้งอยู่ในรัฐแบร์นของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ในอดีตทะเลสาบแห่งนี้เป็นทะเลสาบผืนเดียวกับทะเลสาบบรีเอินซ์ โดยมันเคยมีชื่อว่า ทะเลสาบเว็นเดิล (Wendelsee) แต่ในคริสต์ศตวรรษที่ 10 ทะเลสาบเวนเดิลก็แยกออกเป็นสองทะเลสาบ คือทะเลสาบทูนกับทะเลสาบบรีเอินซ์ โดยมีแม่น้ำอาเรเป็นแม่น้ำที่คอยเชื่อมทะเลสาบทั้งสองแทน โดยที่แม่น้ำอาเรจะไหลจากทะเลสาบบรีเอินซ์มาสู่ทะเลสาบทูน เนื่องจากผิวน้ำของทะเลสาบบรีเอินซ์นั้นอยู่สูงกว่าของทะเลสาบทูนอยู่ราว 6 เมตร


Lake Thun

ทะเลสาบไบรซ์

Lake Brienz

Lake Brienz ตั้งอยู่ใน Burnese Alps ที่ระดับความสูง 564 เมตรจากระดับน้ำทะเล ทะเลสาบแห่งนี้มีชื่อเสียงในด้านทัศนียภาพของ Faulhorn และ Schwarzhoren ที่สูงตระหง่านเหนือทะเลสาบที่งดงามราว 2,000 เมตร. ทะเลสาบตั้งชื่อตามเมือง Brienz ที่ตั้งอยู่ตามแนวชายฝั่งทางตอนเหนือในขณะที่เมืองตากอากาศ Interlaken สามารถพบได้ที่ด้านใต้ของทะเลสาบ ทะเลสาบไบรซ์เป็นที่รู้จักกันว่าเป็นสถานที่โรแมนติกที่สุดแห่งหนึ่งในวันหยุดพักผ่อนในสวิตเซอร์แลนด์ด้วยสีสันอันงดงามและยอดเขาที่ล้อมรอบด้วยน้ำตกและหน้าผา


Lake Brienz